เมนู

4. กรรมสูตร


[22] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงอปริหานิยธรรม 7
ประการ แก่เธอทั้งหลาย ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อปริหานิยธรรม
7 ประการเป็นไฉน คือ ภิกษุทั้งหลายจักไม่ยินดีการงาน จักไม่
ขวนขวายความยินดีการงาน เพียงใด ภิกษุทั้งหลายก็พึงหวัง
ความเจริญได้แน่นอน ไม่พึงหวังความเสื่อมเลย เพียงนั้น ภิกษุ
ทั้งหลายจักไม่ยินดีการคุย ฯลฯ จักไม่ยินดีความหลับ ฯลฯ จักไม่
ยินดีการคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ฯลฯ จักไม่เป็นผู้มีความปรารถนา
ลามก จักไม่ตกอยู่ในอำนาจแห่งความปรารถนาลามก ฯลฯ จักไม่
คบมิตรชั่ว จักไม่มีสหายชั่ว จักไม่มีเพื่อนชั่ว ฯลฯ จักไม่ถึงความ
ท้อถอยเสียในระหว่างที่บรรลุคุณวิเศษเพียงเล็กน้อยเพียงใด ภิกษุ
ทั้งหลายพึงหวังความเจริญได้แน่นอน ไม่พึงหวังความเสื่อมเลย
เพียงนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อปริหานิยธรรม 7 ประการนี้ จัก
ตั้งอยู่ในภิกษุทั้งหลาย และภิกษุทั้งหลายจักปรากฏอยู่ในอปริหา-
นิยธรรม 7 ประการนี้ เพียงใด ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญ
ได้แน่นอน ไม่พึงหวังความเสื่อมเลย เพียงนั้น.
จบ กรรมสูตรที่ 4

อรรถกถากรรมสูตรที่ 4


กรรมสูตรที่ 4

มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า น กมฺมารามา ความว่า ภิกษุเหล่าใดกระทำกิจกรรม
มีจีวร, ประคดเอว, ผ้ากรองน้ำ, ธัมกรก, ไม้กรวด, ที่รองเท้าเป็นต้น

เท่านั้น ประจำวัน ภิกษุเหล่านั้น ก็ห้ามเสียได้ด้วยศรัทธา ส่วน
ภิกษุใด ในเวลากระทำกิจกรรมเหล่านั้น กระทำกิจกรรมเหล่านี้
ในเวลาเทศ ก็เรียนอุเทศ เวลากระทำวัตรที่ลานเจดีย์ ก็กระทำ
วัตรที่ลานเจดีย์ เวลาทำมนสิการ ก็ทำมนสิการ ภิกษุนั้น ชื่อว่า
ไม่ยินดีในการงาน.
ภิกษุใด กระทำการพูดคุยกันถึง ผิวพรรณของหญิงและชาย
เป็นต้นเท่านั้น ให้ล่วงวันล่วงคืนไป ไม่จบการคุยกันเห็นปานนั้น
ภิกษุนี้ ชื่อว่า ยินดีในการคุย. อนึ่ง ภิกษุใด ย่อมกล่าวสนทนาธรรม
ตอบปัญหาทั้งกลางคืนกลางวัน ภิกษุนี้ ถึงจะเป็นคุยน้อย ก็ยัง
พูดจบคุยจบเหมือนกัน เพราะเหตุไร ? เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสไว้ว่า " ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอประชุมกันแล้ว ก็มีกิจที่ควร
กระทำ 2 อย่าง คือ ธรรมีกถา กล่าวธรรม หรือดุษณีภาพนิ่ง
อย่างอริยะ".
ภิกษุใด ยืนก็ตาม เดินก็ตาม นั่งก็ตาม ถูกถีนมิทธะครอบงำ
ก็หลับไป ภิกษุนี้ชื่อว่ามักหลับ. ส่วนภิกษุใด มีจิตหยั่งลงสู่ภวังค์
เพราะความป่วยไข้ของกรัชกาย ภิกษุนี้ไม่ชื่อว่า ไม่มักหลับ.
ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ก่อนอัคคิเวสสนะ
เราย่อมรู้ยิ่ง ในเดือนท้ายแห่งฤดูร้อน เรากลับจากบิณฑบาต
ภายหลังภัตร ปูลาดสังฆาฏิ 4 ชั้น นอนตะแคงข้างขวา มีสติ-
สัมปชัญญะหลับลง.
ภิกษุใด คลุกคลีอยู่อย่างนี้ เป็นคนที่ 2 สำหรับภิกษุรูปหนึ่ง
เป็นคนที่ 3 สำหรับภิกษุ 2 รูป เป็นคนที่ 4 สำหรับภิกษุ 3 รูป

อยู่คนเดียวก็ไม่ได้อัสสาท ความยินดี ภิกษุนี้ ชื่อว่า ชอบคลุกคลี
ส่วนภิกษุใด อยู่ผู้เดียวเท่านั้นในอิริยาบถ 4 ย่อมได้อัสสาทะ
ภิกษุนี้ ชื่อว่า ไม่ชอบคลุกคลี.
ภิกษุผู้ประกอบด้วยความปรารถนาความสรรเจริญคุณ
ที่ไม่มีในตน เป็นผู้ทุศีล ชื่อว่ามีความปรารถนาลามก. ภิกษุเหล่าใด
มีมิตรชั่ว มีสหายชั่ว มีเพื่อนชั่ว เพราะบริโภคร่วมกันในอิริยาบถ
ทั้ง 4. และภิกษุเหล่าใด เป็นเพื่อนให้ภิกษุชั่วทั้งหลาย เพราะน้อมไป
โอนไป เงื้อมไปในปาปมิตรนั้น ภิกษุเหล่านั้น ชื่อว่ามีมิตรชั่ว
สหายชั่ว เพื่อนชั่ว.
บทว่า โอรมตฺตเกน ได้แก่ มีประมาณนิดหน่อย คือมีประมาณ
น้อย. บทว่า อนฺตรา ได้แก่ ในระหว่างนี้ เพราะยังไม่บรรลุพระอรหัต.
บทว่า โวสานํ ได้แก่ ความจบสิ้น ความท้อถอยว่า เท่านี้ก็พอ.
ท่านกล่าวอธิบายไว้ดังนี้ว่า ภิกษุจักไม่ถึงที่สุดด้วยคุณมี
ศีลปาริสุทธิ, ฌานและความเป็นพระโสดาบันเป็นต้น. อย่างใดอย่าง
หนึ่ง เพียงใด ภิกษุทั้งหลาย พึงหวังแต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่
เสื่อมเลยเพียงนั้น.
จบ อรรถกถากรรมสูตรที่ 4

5. สัทธิยสูตร


[23] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงอปริหานิยธรรม 7
ประการ แก่เธอทั้งหลาย ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อปริหานิยธรรม
7 ประการเป็นไฉน คือ ภิกษุทั้งหลายจักเป็นผู้มีศรัทธาอยู่ เพียงใด
ภิกษุทั้งหลายก็พึงหวังความเจริญได้แน่นอน ไม่พึงหวังความเสื่อม
เลย เพียงนั้น ภิกษุทั้งหลายจักเป็นผู้มีหิริ ฯลฯ จักเป็นผู้มีโอตตัปปะ
ฯลฯ จักเป็นพหุสูตร ฯลฯ จักปรารภความเพียร ฯลฯ จักเป็นผู้มีสติ ฯลฯ
จักเป็นผู้มีปัญญา เพียงใด ภิกษุทั้งหลายก็พึงหวังความเจริญได้
แน่นอน ไม่พึงหวังความเสื่อมเลย. เพียงนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
อปริหานิยธรรม ประการนี้ จักตั้งอยู่ในภิกษุทั้งหลาย และภิกษุ
ทั้งหลายจักปรากฏอยู่ในอปริหานิยธรรม 7 ประการนี้ เพียงใด
ภิกษุทั้งหลายก็พึงหวังความเจริญได้แน่นอน ไม่พึงหวังความเสื่อม
เลย เพียงนั้น.
จบ สัทธิยสูตรที่ 5